File- In this Jan. 12, 2007 file photo, a box with a variety of doughnuts from Doughnut Plant sit in the front window of the shop on New York's Lower East Side. (AP Photo/Richard Drew, File)
องค์การอนามัยโลก (WHO) เรียกร้องให้ยกเลิกการใช้สิ่งที่เรียกว่า "ไขมันทรานส์" หรือ Trans Fat ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลกภายในปีค.ศ. 2023
.
WHO กล่าวว่า รูปแบบของไขมันที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรปีละกว่าครึ่งล้านคน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันทรานส์นั้นมักพบในขนมอบและน้ำมันปรุงอาหาร
.
ในปี 2020 WHO กล่าวว่า มากกว่า 58 ประเทศได้ออกกฎหมายเพื่อปกป้องผู้คนจากไขมันทรานส์ แต่ประเทศอื่น ๆ กว่า 100 ประเทศก็ควรกำจัดไขมันดังกล่าวออกจากผลิตภัณฑ์อาหารของตนด้วย
.
องค์การอนามัยโลก รายงานว่า 2 ใน 3 ของการเสียชีวิตที่เกิดจากการใช้ไขมันทรานส์เกิดขึ้นใน 15 ประเทศ โดยแคนาดา ลัตเวีย สโลเวเนีย และสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ได้กำหนดข้อจำกัดหรือห้ามใช้ไขมันทรานส์ แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ในเรื่องนี้ อย่างเช่น อาเซอร์ไบจาน บังคลาเทศ ภูฏาน เนปาล ปากีสถาน อินเดีย อิหร่าน และเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ในแถบเอเชีย รวมทั้ง เอกวาดอร์ เม็กซิโก และอียิปต์
.
ทอม เฟรเดน (Tom Frieden) หัวหน้าองค์กรด้านสาธารณสุข Resolve to Save Lives ซึ่งทำงานร่วมกับ WHO เพื่อกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอาหารในชาติต่าง ๆ กล่าวว่า การกำจัดไขมันทรานส์ออกจากอาหารให้หมดสิ้นอาจช่วยป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้มากถึง 17 ล้านคนภายในปี 2040
.
สมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้การสนับสนุนในเรื่องสุขภาพของหัวใจและการวิจัย กล่าวว่า ไขมันทรานส์มีอยู่ 2 ประเภทที่แตกต่างกัน ประเภทแรกคือ 'ไขมันทรานส์ตามธรรมชาติ' ก่อตัวขึ้นในลำไส้ของสัตว์บางชนิด และมีอาหารมากมายที่ผลิตขึ้นจากสัตว์เหล่านี้ เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
.
ประเภทที่สองคือ 'ไขมันทรานส์เทียม' หรือที่เรียกว่า กรดไขมันทรานส์ ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่เติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืช บริษัทผู้ผลิตอาหารจะใช้น้ำมันที่มีต้นทุนต่ำชนิดนี้เพื่อให้อาหารคงความสดได้นานขึ้น
.
ทั้งนี้ ไขมันทรานส์นั้นสามารถพบได้ในอาหารต่าง ๆ เช่น โดนัท เค้ก คุกกี้ และอาหารทอดกรอบ นอกจากนี้ขนมอบที่วางอยู่บนชั้นขายหลายเดือนแต่ยังคงความนุ่มชุ่มชื้นมักจะมีไขมันทรานส์อยู่ เนื่องจากน้ำมันยังคงแข็งตัวที่อุณหภูมิห้อง
.
เฟรเดน จาก Resolve to Save Lives กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างไขมันทรานส์เทียมและไขมันอิ่มตัว เขาเรียกไขมันทรานส์ว่าเป็น “สารพิษ” ซึ่งควรกำจัดออกจากแหล่งอาหารให้หมดสิ้นไป ซึ่งแตกต่างจากไขมันอิ่มตัวที่พบได้ทั่วไปในอาหารหลาย ๆ ประเภท และไม่มีใครเสนอข้อห้ามใด ๆ ในไขมันชนิดนี้
.
เฟรเดน กล่าวว่า ให้คิดว่ากรดไขมันทรานส์ก็เป็นเสมือนยาสูบในโภชนาการ ซึ่งไม่มีคุณค่าใด ๆ
.
ในปี 2018 WHO ได้ให้คำแนะนำทีละขั้นตอนเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกกำจัดกรดไขมันทรานส์ออกจากแหล่งอาหาร คู่มือดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ แทนที่ไขมันทรานส์ด้วยน้ำมัน อย่างเช่น น้ำมันมะกอก สร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณชนถึงอันตรายของไขมันทรานส์ และบังคับใช้นโยบายและกฎหมายในการต่อต้านการใช้ไขมันทรานส์อีกด้วย โดย WHO กล่าวว่า กฎหมายใหม่ได้ปกป้องชีวิตผู้คนมากกว่า 3,200 ล้านคนจากสารดังกล่าว
.
ประเทศที่ดำเนินนโยบายเกี่ยวกับไขมันทรานส์ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่ประเทศที่มีรายได้น้อยและรายได้ต่ำจนถึงปานกลางหลายประเทศ เช่น บังกลาเทศ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และยูเครน ก็ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับกรดไขมันทรานส์ของ WHO ด้วย
.
อย่างไรก็ตาม เฟรเดนตั้งข้อสังเกตว่า ประชากร 5 พันล้านคนยังคงเสี่ยงต่ออันตรายต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้ไขมันทรานส์ เขากล่าวว่า รัฐบาลประเทศต่าง ๆ สามารถยับยั้งการเสียชีวิตที่สามารถป้องกันนี้ได้โดยการบังคับใช้นโยบายซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดขององค์การอนามัยโลก
ที่มา : voathai https://www.voathai.com/a/6964162.html