สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ตอกย้ำเป้าหมายการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการทางสุขภาพของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากทั้งสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอีในการพัฒนาทั้งด้านเทคโนโลยี บริการ ไปจนถึงโซลูชันการดูแลสุขภาพแบบครบวง โดยหนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ นวัตกรรมเพื่อการดูแลรักษา “ภาวะเบาหวาน” เนื่องจากเป็นภาวะที่ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนในหลายระบบของร่างกาย เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจ - หลอดเลือดสมอง ภาวะแทรกซ้อนที่เท้าและขา ฯลฯ ซึ่งองค์การอนามัยโลกและสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติได้กำหนดให้ 14 พฤศจิกายน ของทุกปีเป็น “วันเบาหวานโลก" (World Diabetes Day)” เพื่อให้องค์กรสาธารสุขทั่วโลกเห็นความสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ
.
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า “NIA ให้ความสำคัญกับการยกระดับนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางแพทย์ขั้นสูง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ และหนึ่งในนวัตกรรมที่เพื่อช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคเบาหวาน โดยที่ผ่านมาได้ส่งเสริมและผลักดันให้สตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีสร้างสรรค์และต่อยอดนวัตกรรมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถใช้ได้จริงทางการแพทย์มากกว่า 10 โครงการ เช่น เทคโนโลยีการคัดกรองแบบรวดเร็ว เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล เพื่อลดระยะเวลาการเดินทาง และช่วยให้สามารถเข้าถึงการรักษาเบื้องต้นได้ทุกที่ อาหารที่มีคุณค่าและเหมาะสมต่อการบริโภคของผู้ป่วย เวชภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับโรคเบาหวาน ฯลฯ นอกจากนี้ NIA ยังตระหนักถึงนวัตกรรมที่จำเป็นในอนาคต เช่น สิทธิการเข้าถึงการรักษาเบาหวาน เบาหวานกับวิถีชีวิต การลดจำนวนผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเสี่ยง เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น ตลอดจนฐานข้อมูลที่สำคัญ (บิ๊กดาต้า) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทั้งประเทศ”
.
ดร. ศิพัตม์ ไตรอุโฆษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ทรูอาย จำกัด
ระบุว่า โรคเบาหวานเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกที่คนไทยป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปัจจุบันกระบวนการตรวจค่าน้ำตาลสะสมมีความล่าช้าและยุ่งยาก ต้องใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเจาะเลือดและส่งแลปให้ประมวลผล ทำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงรู้ตัวช้า “TrueEye Technology” เป็นนวัตกรรมการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน และภาวะเบาหวานขึ้นตาผ่านรูปถ่ายจอประสาทตา ซึ่งเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง เทคโนโลยีด้านเว็บ/โมบายแอปพลิเคชัน การประมวลภาพ และการวิเคราะห์ภาพถ่ายจอประสาทตาด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยการใช้รูปจอประสาทตาของคนปกติและคนที่มีอาการผิดปกติมาประมวลผลร่วมกับข้อมูลผู้รับบริการ เช่น อายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ ความดันตัวบน และรอบเอว ที่กรอกผ่านแอปพลิเคชั่นมาวิเคราะห์ร่วมกับระบบ AI ให้จดจำและแยกแยะคนที่มีอาการปกติและผิดปกติ สามารถประเมินระดับความเสี่ยงได้ภายใน 5 นาที และมีความแม่นยำเทียบเท่ากับงานวิจัยระดับโลกเมื่อเทียบกับตัวชี้วัดมาตรฐานระดับสากล
.
ทคโนโลยีดังกล่าว นอกจากจะสามารถประเมินความเสี่ยงโรคได้ง่าย รวดเร็ว และไม่เจ็บตัวแล้ว ยังสร้างมิติใหม่ในการตรวจหาความเสี่ยงของภาวะเบาหวานและค่าน้ำตาลสะสมย้อนหลัง 3 เดือน ครอบคลุม 3 กลุ่ม คือ กลุ่มภาวะปกติ กลุ่มภาวะเสี่ยง และกลุ่มภาวะเป็นเบาหวาน ทั้งนี้ มีโรงพยาบาลสมิติเวชได้นำไปใช้งานแล้ว ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความแออัดและภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านสุขภาพของประเทศไทย และลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันสามารถต่อยอดใช้ตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อื่น เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้อีกด้วย
.
นางสาวกมณฑกร แก้ววิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบโอเวิลด์ จำกัด กล่าวว่า “แผลเบาหวาน” เป็นแผลที่หายช้าเพราะการไหลเวียนเลือดไม่เพียงพอ ส่งผลให้กลายเป็นแผลเรื้อรังและติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากแผลเบาหวานมีสภาพของบาดแผลที่รุนแรง ทำให้การรักษาในปัจจุบันแพทย์จะใช้ครีมทาแผลเบาหวานที่ได้จากการสังเคราะห์และเป็นตัวยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น บริษัทจึงได้ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดค้นและพัฒนาต้นแบบตำรับยาทาแผลเบาหวานจากสมุนไพร เพื่อลดการนำเข้ายาเคมีรักษาแผลเบาหวานจากต่างประเทศ นำวัตถุดิบทางการเกษตรมาสร้างให้เกิดมูลค่าเพิ่ม รวมถึงเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยารักษาแผลเบาหวานได้มากขึ้น
.
นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจาก Austrian Drug Screening Institute (ADSI) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิเคราะห์สารสำคัญจากสมุนไพรและการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ในยุโรปมาร่วมพัฒนายาทาแผลเบาหวานจากตำรับ “ยาน้ำสมุนไพรทองนพคุณ” ซึ่งประกอบด้วยขมิ้นชัน ทองพันชั่ง และไพล มีคุณสมบัติลดบวม ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและต้านเชื้อรา โดยเป็นวัตถุดิบที่หาได้ภายในประเทศและมีปริมาณมากพอสำหรับผลิตในระดับอุตสาหกรรมมาผ่านกระบวนการสกัดสารสำคัญด้วยวิธีและสภาวะที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้สูญเสียคุณค่าทางยาสำหรับมาพัฒนาเป็นยาทาแผลเบาหวานจากสมุนไพร 100% มีประสิทธิภาพการรักษาแผลเบาหวานระยะเริ่มต้นถึงระยะกลาง มีสรรพคุณลดการอักเสบ ช่วยให้แผลแห้งไว ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกและแกรมลบ ต้านเชื้อรา และยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรจาก อย. เพื่อขยายสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ต่อไป”
ที่มา : mgronline https://mgronline.com/science/detail/9650000111888