
วันที่ 1 มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 110 (พ.ศ. 2434)

สถานปฏิบัติการวิเคราะห์แร่ กรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา กระทรวงเกษตราธิการ สู่ กองแยกธาตุ กรมกษาปณ์สิทธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
โอนกิจการและตัวบุคคลที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์เงินบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ สถานปฏิบัติการวิเคราะห์แร่ ไปสังกัดกรมกษาปณ์สิทธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ จัดตั้งเป็น “กองแยกธาตุ” ทำหน้าที่ - ควบคุมดูแลเนื้อโลหะที่ใช้ทำเหรียญกระษาปณ์ตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามพระราชบัญญัติทำเหรียญเงินรัตนโกสินทร์ศก 122 (พ.ศ. 2446) - ปรับปรุงกิจการทำเหรียญกระษาปณ์ให้เป็นแบบเดียวกับโรงกระษาปณ์เบอร์มิงแฮม (Birmingham Mint) ของสหราชอาณาจักร (ประเทศอังกฤษ) ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 งานวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดของ สถานปฏิบัติการวิเคราะห์แร่ กรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา ได้โอนมารวมกันไว้ที่ “กองแยกธาตุ”

กองแยกธาตุ กรมกษาปณ์สิทธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ สู่ ศาลาแยกธาตุ กระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2460 กองแยกธาตุ กรมกษาปณ์สิทธิการ โอนย้ายมาขึ้นตรงกับ กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อประโยชน์ต่อการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของประเทศ ภายหลังการโอนกองแยกธาตุ ได้มีการรวบรวมนำงานและกิจการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนมากเป็นสาขาวิชาทางเคมีตามหน่วยงานต่างๆ มารวมกันไว้ในที่เดียวกัน จัดตั้งเป็น “ศาลาแยกธาตุ” (The Government Laboratory) กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2461 เพื่อการจัดการให้เป็นห้องปฏิบัติการกลาง (central Laboratory) ของประเทศ พ.ศ. 2463 กรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง คือ “กระทรวงพาณิชย์” และศาลาแยกธาตุก็ได้กลายเป็นส่วนราชการเทียบเท่ากรมในสังกัดกระทรวงพาณิชย์

สร้างตึก Technical Laboratory บริเวณกระทรวงพาณิชย์ (ขณะนั้นอยู่บริเวณถนนสนามไชย) ศาลาแยกธาตุ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการสร้างตึก Technical Laboratory ขึ้น ในบริเวณที่ตั้งกระทรวงพาณิชย์ (ขณะนั้นอยู่บริเวณถนนสนามไชย) เพื่อใช้ในการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางด้านอุตสาหกรรม

เมื่อ วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้รวมกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงพาณิชย์การ และพระราชทานนามกระทรวงใหม่ว่า “กระทรวงคมนาคมและพาณิชย์การ”นมารวมกันไว้ที่ “กองแยกธาตุ”

ผลิตเวชภัณฑ์ ได้แก่ เอทิลเอสเตอร์ของน้ำมันกระเบาสำหรับรักษาโรคเรื้อน สกัดวิตามินบีจากรำข้าวสำหรับแก้โรคเหน็บชา เป็นต้น ทำให้ประหยัดเงินที่ต้องสั่งซื้อยาจากต่างประเทศ และมียาสำรองไว้ใช้ในประเทศ ป้องกันขาดแคลนแม้ในยามคับขัน
วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 กระทรวงคมนาคมและพาณิชย์การ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม” ศาลาแยกธาตุจึงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นหน่วยงานเทียบเท่ากรมในสังกัดกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม โดยมีผู้บังคับบัญชาเป็นชั้นเจ้ากรม คือ “นาย เอ. มาร์กัน” เจ้าพนักงานใหญ่แยกธาตุเดิม ได้รับตำแหน่งหน้าที่เจ้ากรมศาลาแยกธาตุคนแรก
ต่อมาเมื่อนาย เอ. มาร์กัน พ้นจากตำแหน่งเจ้ากรมศาลาแยกธาตุ “พระยาประสาทธาตุการย์” (กิมปี๊ ประนิช) ผู้ช่วยเจ้ากรมศาลาแยกธาตุ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมสืบแทนเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2474 และได้เตรียมการปรับปรุงและยกฐานะศาลาแยกธาตุขึ้นเป็น "กรมวิทยาศาสตร์

วันสถาปนากรมวิทยาศาสตร์บริการ ใช้วันที่จัดตั้งกรมวิทยาศาสตร์ตามที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยประกาศ ณ วันที่ 30 มกราคม 2476 (ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 50 หน้า 911 – 914 วันที่ 30 มกราคม 2476 พระราชกฤษฎีกา จัดวางระเบียบราชการสำนักงานและกรมในกระทรวงเศรษฐการ มาตรา 8 การแบ่งส่วนราชการ กรมวิทยาศาสตร์)
พระยาประสาทธาตุการย์ เจ้ากรมศาลาแยกธาตุในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมวิทยาศาสตร์เป็นคนแรก

ดร. ตั้ว ลพานุกรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงเศรษฐการ ได้ขยายขอบเขตผลงาน และกิจกรรมของกรมวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้น โดยในปี พ.ศ.2478 ได้ก่อตั้งกองเภสัชกรรมขึ้น เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิจัยทางเภสัชกรรมและวิจัยสมุนไพรใช้ทำเป็นยาทดแทนการสั่งซื้อยาสมัยใหม่จากต่างประเทศโดยผลิตยา 2 ขนาน ได้แก่ ยารักษาโรคเรื้อนและยารักษาโรคเหน็บชา

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2480 ดร.ตั้ว ลพานุกรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงเศรษฐการ ได้ก่อตั้งสถานศึกษาเฆมีปฏิบัติขึ้น เพื่ออบรมคนให้มีความรู้ในวิชาเคมีทางปฏิบัติ เพื่อให้เข้ารับราชการในกรมวิทยาศาสตร์ และที่ทำการอื่นๆ ของรัฐบาล ซึ่งจำต้องใช้วิชานี้ เวลานี้กิจการต่างๆ ได้เพิ่มและขยายเป็นอันมาก แต่หาผู้ที่มีความรู้พอจะปฏิบัติงานไม่ได้ ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถเพาะขึ้นให้ได้ทันและพอแก่ความต้องการ โดย ดร.ตั้ว ลพานุกรม รับเป็นผู้อำนวยการคนแรก (พ.ศ. 2480-2483)
พ.ศ. 2482 มีนักศึกษาสำเร็จเป็นรุ่นแรก จำนวน 9 คน

กรมวิทยาศาสตร์ขยายงานห้องสมุดให้มีวารสารและตำราเพิ่มมากขึ้น ออกหนังสือพิมพ์วิทยาศาสตร์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่ประชาชน ออกวารสารอังกฤษชื่อ “Siam Science Bulletin” เพื่อเผยแพร่งานวิจัยในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนกับวารสารทางวิทยาศาสตร์ของสถานศึกษาเคมีปฏิบัติต่างประเทศ

ดร. ตั้ว ลพานุกรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงเศรษฐการ ได้ก่อสร้างโรงงานเภสัชกรรม ณ ตำบลพญาไท ซึ่งก็คือ องค์การเภสัชกรรมในปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์การสร้าง ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น
2. เพื่อเป็นการประหยัดเงินที่ต้องสั่งยาจากต่างประเทศให้ลดน้อยลง
3. เพื่อจะได้มียาสำรองไว้ใช้ในประเทศ ป้องกันขาดแคลนแม้ในยามคับขัน
ปลายปี พ.ศ. 2483 เนื่องจากทางราชการเห็นว่า โรงงานเภสัชกรรม ดำเนินการในรูปธุรกิจการค้า อุตสาหกรรมยามากกว่าวิชาการ จึงแยกโรงงานเภสัชกรรมออกจากกรมวิทยศาสตร์

ภายหลังการเปลี่ยนการปกครองเมื่อ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้พัฒนาทั้งด้านการบริหารและพัฒนาประเทศ มีการปรับเปลี่ยนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงตามนโยบายของรัฐบาลในสมัยนั้นกระทรวงเศรษฐการ มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “กระทรวงการเศรษฐกิจ” กรมวิทยาศาสตร์จึงสังกัดกระทรวงการเศรษฐกิจ

สมัย “ดร. ประจวบ บุนนาค” เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงเศษฐการ ปรับปรุงงานห้องสมุดปรับเป็นแผนกหอสมุดวิทยาศาสตร์ กรมวิทยาศาสตร์ โดยมี ดร.ปุ๋ย โรจนบุรานนท์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกหอสมุดวิทยาศาสตร์
แผนกหอสมุดวิทยาศาสตร์ได้เริ่มนำระบบทศนิยมดิวอี้ (Dewey Decimal Classification) มาตรฐานสากลมาใช้จัดหมวดหมู่ของหนังสือ

พ.ศ. 2485 เกิดวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศเกิดสงครามโลกและสงครามมหาเอเชียบูรพาซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามด้วย การบริหารประเทศในครั้งนั้นมุ่งเน้นไปที่การจัดให้มีการผลิตสิ่งอุปโภคบริโภคให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในภาวการณ์คับขัน และการรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ให้เข้มแข็ง รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรมใหม่ โดยยุบกระทรวงการเศรษฐกิจเดิมและตั้งกระทรวงขึ้นใหม่อีก 2 กระทรวง คือ กระทรวงการอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพัฒนางานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของประเทศ โดยกระทรวงการอุตสาหกรรมจะประกอบด้วย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิทยาศาสตร์ และกรมโลหกิจ
กรมวิทยาศาสตร์ จึงย้ายกระทรวงการเศรษฐกิจ มาสังกัดกระทรวงการอุตสาหกรรม มีหน้าที่ทดลอง ค้นคว้า และตรวจวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์และการอุตสาหกรรม และให้การศึกษาอบรมบุคคลซึ่งสำเร็จชั้นเตรียมอุดมศึกษามาแล้วให้มีความรู้ ความสามารถ ทั้งในทางทฤษฎีและทางปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม เพื่อเข้ารับราชการในกรมวิทยาศาสตร์ หรือในส่วนราชการอื่น

“กระทรวงการอุตสาหกรรม” ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “กระทรวงอุตสาหกรรม” มีการจัดตั้งกองใหม่ในกรมวิทยาศาสตร์ คือ “กองค้นคว้าอุตสาหกรรม”
กรมวิทยาศาสตร์ได้ย้ายมาปฏิบัติงานที่อาคารกรมวิทยาศาสตร์ที่ ถนนพระรามที่ 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร จนถึงปัจจุบัน

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นบริเวณกรมวิทยาศาสตร์ (ทุ่งพญาไท)
(1) อาคารที่ทำการกรมวิทยาศาสตร์ (2) แผนกช่าง
(3) แผนกพัสดุ (4) หอพักน้ำบาดาล
(5) โรงงานผลิตสารส้ม (6) โรงเก็บกรดซัลฟุริกและวัสดุ
(7) บ้านพักสำหรับผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศ

จัดตั้งสภาวิจัยแห่งชาติขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2499 โดยให้ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์เป็นเลขาธิการสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติโดยตำแหน่ง ดร. จ่าง รัตนะรัต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ สมัยนั้นได้รับหน้าที่เลขาธิการสำนักงาน สภาวิจัยแห่งชาติ คนแรก
สภาวิจัยแห่งชาติปัจจุบัน คือ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

สำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติ ได้รับงานจัดพิมพ์ Siam Science Bulletin ซึ่งเป็นวารสาร ภาษาอังกฤษเผยแพร่ผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไทย ที่ “กรมวิทยาศาสตร์” ทำอยู่ ไปดำเนินการต่อ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า Journal of the National Research Council of Thailand

งานด้านการกำาหนดมาตรฐานของประเทศไทยได้เริ่มต้น ในปี พ.ศ. 2506 กรมวิทยาศาสตร์ ได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมฉบับแรก คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ถ่านไฟฉาย ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 87 ตอนที่ 60 หน้า 2083 วันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2513) ออกตามความใน พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่องกำหนดผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม

กรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดส่วนราชการและปรับปรุง งานใหม่ เนื่องจากงานด้านมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศของกองวิทยาศาสตร์ชีวภาพ มีปริมาณงานเพิ่มมากขึ้น สมควรแยกออกจากกอง จึงมีการจัดตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการ แห่งชาติว่าด้วยมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ” ขึ้นในกรมวิทยาศาสตร์

กรมวิทยาศาสตร์ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้จัดส่วนราชการและ ปรับปรุงงานใหม่ งานห้องสมุดและเผยแพร่ ซึ่งเดิมสังกัดอยู่ในสำนักงานเลขานุการกรม ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “กองสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”