ดร.ตั้ว ลพานุกรม
ดร.ตั้ว ลพานุกรม เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ที่บ้านตำบลถนนอนุวงศ์ อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร บิดาชื่อ เจริญ ลพานุกรม มารดาชื่อ เนียร ลพานุกรม มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน เรียงกันตามลำดับ ดังต่อไปนี้
๑. หลวงลพานุกรมพิพัฒน์ (โต ลพานุกรม) ถึงแก่กรรม
๒. พระดุลยกรมนราทร (ใหญ่ ลพานุกรม) เป็นผู้พิพากษาศาลอุธรณ์
๓. ดร.ตั้ว ลพานุกรม
๔. คุณหญิงมานวราชเสวี (ศรี ณ สงขลา)
๕. นายศุจิน ลพานุกรม
ภาพ ดร. ตั้ว ลพานุกรม
ภาพถ่ายแรกเมื่อไปประเทศเยอรมันนี พ.ศ.๒๔๕๔
เริ่มเข้ารับการศึกษาในวิชาสามัญที่โรงเรียนมัธยม วัดเทพศิรินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ พอถึง พ.ศ. ๒๔๕๐ ก็ลาออก และไปศึกษาต่อที่โรงเรียนราชวิทยาลัย ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๓
ปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ไปยุโรป เพื่อศึกษาวิชาต่อโดยทุนของพระองค์
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๐ ศึกษาวิชาสามัญในโรงเรียน ที่เมือง ฟัลเก็นแบร์ก ( Falkenberg ) จังหวัด มาร์ค ( Mark ) ประเทศเยอรมันนี
เมื่อประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมันนีใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้ถูกจับเป็นชะเลยศึกและถูกส่งไปอยู่ ณ ที่คุมขังที่กรุงเบอร์ลินประมาณ ๒ สัปดาห์ แล้วจึงถูกส่งไปยังที่คุมขังชะเลยศึกชั้นนายทหารที่ Offziersgefangenenlager, Celle Schloss ที่เมือง Celle ในประเทศเยอรมันนี
ชีวิตตอนนี้แม้จะค่อนข้างลำบากและขาดอิสรภาพ ก็ได้ถือโอกาสนั้นศึกษาวิชาเพิ่มเติมไปด้วย โดยจ้างครูพิเศษมาสอนในที่คุมขัง วิชาที่เรียน มี ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ คำนวณ และฟิสิคส์
ผู้ที่ถูกจับเป็นชะเลยศึกอยู่ด้วยกันในเวลานั้นเล่าว่า แม้ทุกคนจะได้รับความลำบากในที่คุมขัง แต่ก็สนุกสนานและครึกครื้นมาก เพราะล้วนแต่เป็นหนุ่มในวัยคะนองด้วยกันทั้งนั้น เมื่อได้มารวมพวกกันเข้าแล้วก็ลืมว่าถูกจับเป็นชะเลย และอยู่ในที่คุมขังได้ร่วมวงเรียนและฝึกฝนดนตรีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดนตรีที่ ดร.ตั้ว ลพานุกรม หัดและเล่นได้ดี คือ ขลุ่ยฝรั่ง
เมื่อออกจากที่คุมขัง ภายหลังการพักรบในเดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้เดินทางจากประเทศเยอรมันนี ผ่านประเทศเบลเยี่ยมไปยังฝรั่งเศสเพื่ออาสาสมัครเป็นทหารในกองรถยนตร์ไทยที่ไปในงานพระราชสงคราม ณ ทวีปยุโรป โดยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมัน เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย ในระหว่างนี้ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตของทหารไม่น้อย
ครั้นแล้วในปลาย พ.ศ. ๒๔๖๒ นั้นเอง ก็ได้เดินทางกลับไปยังยุโรปเพื่อศึกษาต่อโดยทุนของสมเด็จพระราชบิดาอีกครั้งนึง โดยเตรียมสอบ Matriculation อยู่ประมาณ ๑ ปี แล้วจึงได้เข้าศึกษาวิชาเคมีในมหาวิทยาลัยกรุงเบิร์น ( University of Berne ) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๕ และย้ายไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งเจนิวา ( Universite´ de Geneve ) ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๗ จึงได้กลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงเบิร์น และสอบไล่ได้ปริญญาเอกเป็นดุษฎีบัณฑิตชั้นเกียรตินิยม ( Magna cum laude ) ในวิชาเคมี ( Dr.Phil. Chem. ) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ วิทยานิพนธ์ของท่านเมื่อทำปริญญาดุษฎีบัณฑิตนั้น ชื่อ ‘The Influence of Chemical Composition on the Strueture of Crystals’
งานอดิเรกของท่านในตอนนี้ นอกจากการเล่นดนตรีแล้ว ยังมีการสะสมหนังสือเกี่ยวกับวิชาที่เรียนแข่งขันกับพวกเพื่อน ๆ ชุดเดียวกัน และการถ่ายภาพอีกด้วย
ภาพที่ท่านถ่ายในสมัยนั้น โดยมากไม่ใช่สักแต่ว่าถ่าย หรือถ่ายเพื่อเป็นที่ระลึกของเหตุการณ์เท่านั้น แต่เป็นภาพถ่ายของผู้รักศิลปคนหนึ่งทีเดียว คือเลือกถ่ายแต่ภาพที่งามจริงๆ และยังเคยได้รับรางวัลในการประกวดภาพถ่ายของนักถ่ายภาพสมัครเล่นมาแล้วด้วย
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้ไปศึกษาวิชาเภสัชกรรมศาสตร์เพิ่มเติม ที่ มหาวิทยาลัยแห่งมิวนิค ( University of Munich ) ในประเทศเยอรมันนี
ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๒ – ๒๔๗๓ ได้ไปศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์เพิ่มเติมอีกที่แผนกวิทยาศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยกรุงปารีส เป็นการศึกษาต่อเพื่อต้องการความรู้โดยฉะเพาะ ไม่ต้องการรับปริญญาอะไรเป็นพิเศษไปอีก
ภาพถ่ายในที่คุมขังชะเลยศึกที่เมือง Celle เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑
ภาพในเครื่องแบบจ่านายสิบ ทหารอาสากองรถยนตร์ ถ่ายที่เมือง Mussbach พ.ศ. ๒๔๖๒
ภาพนักเรียนไทยที่ถูกคุมขังเป็นชะเลย ณ เมือง Celle พ.ศ. ๒๔๖๑
ภาพวงดนตรีเล่นในที่คุมขังชะเลยศึก ณ เมือง Celle พ.ศ. ๒๔๖๑
ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการเศรษฐกิจ และอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์แล้ว ยังได้ดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญอื่นๆอีก เป็นอันมาก อาทิ เช่น
- เป็นภาคีสมาชิกใน สำนักวิทยาศาสตร์ แห่ง ราชบัณฑิตยสถาน
- ที่ปรึกษากรมที่ดินและโลหกิจฝ่ายวิชาการ
- ประธานกรรมการพิจารณางานอุตสาหกรรมของรัฐบาล
- ประธานกรรมการพิจารณาส่งเสริมกิจการของถั่วเหลือง
- ประธานกรรมการพิจารณาการจัดตั้งโรงงาน สะกัดน้ำมันถั่วเหลืองและเมล็ดฝ้าย
- ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องเกลือ
- ประธานกรรมการปรับปรุงสุรา และเมรัย
- ประธานกรรมการอำนวยการโรงงานเภสัชกรรม
- กรรมการตรวจรับทองคำ
- กรรมการแร่ ป่าไม้ และที่ดิน
- กรรมการสำรวจแร่
- กรรมการอุตสหกรรมเหมืองแร่
- กรรมการประเมินจำนวนแร่
- กรรมการเชื้อเพลิง
- กรรมการปรับปรุงกระทรวงทะบวงกรม
- กรรมการร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองอุตสาหกรรมสมบัติ
- กรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์
- กรรมการบริษัทไทยนิยมจำกัด
- หัวหน้า แผนก เภสัชกรรมศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย
- กรรมการสมาคมค้นวิชาแห่งประเทศไทย
- ผู้อำนวยการสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ เป็นต้น
มีงานหลายอย่างของกรมวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นหรือได้มารวมอยู่ด้วยความริเริ่มของท่าน อาทิ เช่น การตั้งกองเภสัชกรรมและโรงงานเภสัชกรรม การโอนเอางานเกษตรศาสตร์จากกรมเกษตรมาจัดเป็นกองหนึ่ง ตั้งแผนกฟิสิคส์ แผนกเครื่องปั้นดินเผา แผนกเส้นใย แผนกอาหาร แผนกสุราเมรัย แผนกแร่และหิน ขึ้นในกองอุตสาหกรรมเคมี หรือแทบจะว่าจัดตั้งกองใหม่ขึ้นอีกกองหนึ่งก็ได้ เพราะกองอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งเดิมมีชื่อว่ากองเทฆโนโลยีนั้น มีงานที่เป็นหน้าเป็นตาอยู่ก็แต่การทำน้ำยาสะกัดวิตามิน บี. และยาน้ำมันกระเบา นอกจากนั้น ยังได้จัดตั้งแผนกหอสมุดวิทยาศาสตร์กับสถานศึกษาเคมีปฏิบัติขึ้นใหม่ โดยฉะเพาะในส่วนสถานศึกษาเคมีปฏิบัตินั้น ท่านรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการเองมาตั้งแต่ต้นจนถึงอวสานกาลแห่งชีวิตของท่าน ไม่ใช่ว่าท่านรับตำแหน่งนี้เพราะขาดผู้ไว้วางใจ หรือรับแต่เพียงเป็นพิธี แต่รับเพื่อควบคุมการศึกษาอบรมนักศึกษาอย่างใกล้ชิด เพราะนักศึกษาเหล่านี้เมื่อสำเร็จแล้วก็จะมาเป็นข้าราชการในกรมวิทยาศาสตร์ต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยืนยันความที่ได้กล่าวมาแล้วตอนหนึ่งว่า ท่านมองเห็นความสำคัญของคนยิ่งกว่าสิ่งอื่น ถ้าหากคนซึ่งจะเป็นผู้ปฎิบัติงานดีแล้ว งานก็ย่อมจะดีตามกันไปด้วย
ความดำริริเริ่มของท่านอีกสิ่งหนึ่งซึ่งยังไม่ทันจะเป็นผลก็ต้องหยุดชะงักลงนั้น ได้แก่การที่จะจัดตั้งสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยขึ้น เพราะท่านเล็งเห็นว่าเวลานี้ประเทศเราก็มีผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อยู่มากแล้ว แต่ต่างคนต่างก็ทำงานคนละแห่ง ไม่ใคร่จะได้มีการวิสาสะสมาคมซึ่งกันและกัน เป็นเหตุให้ขาดการติดต่อและความร่วมมืออันดี ถ้าหากได้จัดให้มีสมาคมขึ้นแล้วก็จะเป็นโอกาสให้มาพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นและความชำนาญกันได้ นอกจากนั้น เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างประเทศมาเยี่ยมเยียนประเทศไทย ก็จะได้มีองค์การณ์รับรองให้เป็นเกียรติยศแก่บ้านเมือง สมาคมเช่นว่านี้ในต่างประเทศเขามีกันมาก แต่ของเรายังขาดอยู่ สมควรที่จะจัดให้มีขึ้นได้แล้ว แต่ความปรารถนาของท่านยังมิได้บรรลุความสำเร็จ ท่านก็มาถึงแก่อนิจกรรมไปเสียก่อน อย่างไรก็ดี คงจะมีผู้ที่เห็นชอบด้วยในอุดมคติของท่านบ้าง และสมาคมเช่นว่านี้ก็อาจอุบัติขึ้นได้สักวันหนึ่งในอนาคต
ดร. ตั้ว ลพานุกรม เป็นผู้มีความจงรักภักดีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ สำหรับความจงรักภักดีในชาตินั้น จะเห็นได้จากการที่ท่านยอมเสียสละเสี่ยงชีวิตและเลือดเนื้อ ก่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเพื่อให้ชาติไทยได้เจริญก้าวหน้าไปในอารยวิถี ท่านได้เสียสละเพื่อชาติโดยมิได้หวังการตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากความพากพูมใจ ในเมื่อเห็นความเจริญรุ่งโรจน์ของประเทศชาติ ความปรารถนาอันแรงกล้าในชีวิตของท่านนั้น คือ ความปรารถนาที่จะส่งเสริมและบำรุงการวิทยาศาสตร์ของชาติให้รุ่งเรือง เพราะมีคติอยู่ว่า "ชาติจะเจริญโดยไม่มีวิทยาศาสตร์เป็นหลักไม่ได้"
- หลวงประดิษฐมนูธรรม
- พ.ต. หลวงโกวิทอภัยวงศ์
- พล.ร.ท. หลวงสินธุสงครามชัย
- พ.อ. ประยูร ภมรมนตรี
- น.อ. หลวงศุภชลาศัย
- ร.น. หลวงเดชาติวงศ์วราวัตน์
- หลวงเดชสหกรณ์
- ม.ล. อุดม สนิทวงศ์
- ดร. ประจวบ บุนนาค
- พ.ต. ขุนนิรันดรชัย
- นายวิเชียร สุวรรณทัต เป็นต้น
ภาพหมู่ข้าราชการกรมวิทยาศาสตร์ รูปสุดท้ายที่มีท่านอธิบดีร่วมอยู่ด้วย ถ่ายเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔
บรรณานุกรม
ที่ระลึกในงานรัฐพิธีพระราชทานเพลิงศพ ดร. ตั้ว ลพานุกรม ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๘๔. พระนคร : บริษัทการพิมพ์ไทย, ๒๔๘๔. ๑๒๘ หน้า.