ดร.ตั้ว ลพานุกรม

ดร.ตั้ว ลพานุกรม เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ที่บ้านตำบลถนนอนุวงศ์ อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร บิดาชื่อ เจริญ ลพานุกรม มารดาชื่อ เนียร ลพานุกรม มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน เรียงกันตามลำดับ ดังต่อไปนี้
๑. หลวงลพานุกรมพิพัฒน์ (โต ลพานุกรม) ถึงแก่กรรม
๒. พระดุลยกรมนราทร (ใหญ่ ลพานุกรม) เป็นผู้พิพากษาศาลอุธรณ์
๓. ดร.ตั้ว ลพานุกรม
๔. คุณหญิงมานวราชเสวี (ศรี ณ สงขลา)
๕. นายศุจิน ลพานุกรม

ภาพ ดร. ตั้ว ลพานุกรม

ภาพถ่ายแรกเมื่อไปประเทศเยอรมันนี พ.ศ.๒๔๕๔

      เริ่มเข้ารับการศึกษาในวิชาสามัญที่โรงเรียนมัธยม วัดเทพศิรินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ พอถึง พ.ศ. ๒๔๕๐ ก็ลาออก และไปศึกษาต่อที่โรงเรียนราชวิทยาลัย ใน พ.ศ. ๒๔๕๑ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๓
      ปลายปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ตามเสด็จ สมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ไปยุโรป เพื่อศึกษาวิชาต่อโดยทุนของพระองค์
      ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๐ ศึกษาวิชาสามัญในโรงเรียน ที่เมือง ฟัลเก็นแบร์ก ( Falkenberg ) จังหวัด มาร์ค ( Mark ) ประเทศเยอรมันนี
      เมื่อประเทศไทยได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมันนีใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ได้ถูกจับเป็นชะเลยศึกและถูกส่งไปอยู่ ณ ที่คุมขังที่กรุงเบอร์ลินประมาณ ๒ สัปดาห์ แล้วจึงถูกส่งไปยังที่คุมขังชะเลยศึกชั้นนายทหารที่ Offziersgefangenenlager, Celle Schloss ที่เมือง Celle ในประเทศเยอรมันนี
      ชีวิตตอนนี้แม้จะค่อนข้างลำบากและขาดอิสรภาพ ก็ได้ถือโอกาสนั้นศึกษาวิชาเพิ่มเติมไปด้วย โดยจ้างครูพิเศษมาสอนในที่คุมขัง วิชาที่เรียน มี ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษ คำนวณ และฟิสิคส์
      ผู้ที่ถูกจับเป็นชะเลยศึกอยู่ด้วยกันในเวลานั้นเล่าว่า แม้ทุกคนจะได้รับความลำบากในที่คุมขัง แต่ก็สนุกสนานและครึกครื้นมาก เพราะล้วนแต่เป็นหนุ่มในวัยคะนองด้วยกันทั้งนั้น เมื่อได้มารวมพวกกันเข้าแล้วก็ลืมว่าถูกจับเป็นชะเลย และอยู่ในที่คุมขังได้ร่วมวงเรียนและฝึกฝนดนตรีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดนตรีที่ ดร.ตั้ว ลพานุกรม หัดและเล่นได้ดี คือ ขลุ่ยฝรั่ง
      เมื่อออกจากที่คุมขัง ภายหลังการพักรบในเดือน ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ได้เดินทางจากประเทศเยอรมันนี ผ่านประเทศเบลเยี่ยมไปยังฝรั่งเศสเพื่ออาสาสมัครเป็นทหารในกองรถยนตร์ไทยที่ไปในงานพระราชสงคราม ณ ทวีปยุโรป โดยทำหน้าที่เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสและภาษาเยอรมัน เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย ในระหว่างนี้ได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตของทหารไม่น้อย

ภาพถ่ายในคราวไปเที่ยวที่ป่าแห่งหนึ่งใกล้กรุงเบอร์ลิน ก่อนถูกจับเป็นชะเลยศึก ๑ วัน

ภาพหนึ่งที่ ดร. ตั้ว ลพานุกรม เป็นผู้ถ่าย และได้รับรางวัลในการประกวดภาพถ่ายที่กรุงเบิร์น

      บางคนอาจสงสัยว่าเหตุใดจึงไปเป็นทหารเมื่อพักรบแล้ว ความจริงเมื่อพักรบนั้น ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ทำสัญญาสงบศึก การรบอาจดำเนินต่อไปในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ ทหารต้องมีหน้าที่ขนส่ง ลำเลียงอาวุธ และอาหาร ไปในเขตต์ที่กองทัพยึดไว้ได้ ตลอดจนรักษาความสงบด้วย
      ได้รับยศเป็นจ่านายสิบในกองรถยนตร์ไทย และเหรียญดุษฎีมาลาของรัฐบาลฝรั่งเศส กลับประเทศไทยพร้อมกับกองทหารอาสาใน พ.ศ. ๒๔๖๒ และได้รับพระราชทานเครื่องอิสสริยาภรณ์เหรียญทองช้างเผือก เหรียญรามา กับเหรียญงานพระราชสงครามในทวีปยุโรป และปลดออกจากประจำการในเดือน กันยายน ปีเดียวกัน
      ครั้นแล้วในปลาย พ.ศ. ๒๔๖๒ นั้นเอง ก็ได้เดินทางกลับไปยังยุโรปเพื่อศึกษาต่อโดยทุนของสมเด็จพระราชบิดาอีกครั้งนึง โดยเตรียมสอบ Matriculation อยู่ประมาณ ๑ ปี แล้วจึงได้เข้าศึกษาวิชาเคมีในมหาวิทยาลัยกรุงเบิร์น ( University of Berne ) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๕ และย้ายไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งเจนิวา ( Universite´ de Geneve ) ใน พ.ศ. ๒๔๖๖ จนถึง พ.ศ. ๒๔๖๗ จึงได้กลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงเบิร์น และสอบไล่ได้ปริญญาเอกเป็นดุษฎีบัณฑิตชั้นเกียรตินิยม ( Magna cum laude ) ในวิชาเคมี ( Dr.Phil. Chem. ) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๐ วิทยานิพนธ์ของท่านเมื่อทำปริญญาดุษฎีบัณฑิตนั้น ชื่อ ‘The Influence of Chemical Composition on the Strueture of Crystals’
      งานอดิเรกของท่านในตอนนี้ นอกจากการเล่นดนตรีแล้ว ยังมีการสะสมหนังสือเกี่ยวกับวิชาที่เรียนแข่งขันกับพวกเพื่อน ๆ ชุดเดียวกัน และการถ่ายภาพอีกด้วย
      ภาพที่ท่านถ่ายในสมัยนั้น โดยมากไม่ใช่สักแต่ว่าถ่าย หรือถ่ายเพื่อเป็นที่ระลึกของเหตุการณ์เท่านั้น แต่เป็นภาพถ่ายของผู้รักศิลปคนหนึ่งทีเดียว คือเลือกถ่ายแต่ภาพที่งามจริงๆ และยังเคยได้รับรางวัลในการประกวดภาพถ่ายของนักถ่ายภาพสมัครเล่นมาแล้วด้วย
      ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้ไปศึกษาวิชาเภสัชกรรมศาสตร์เพิ่มเติม ที่ มหาวิทยาลัยแห่งมิวนิค ( University of Munich ) ในประเทศเยอรมันนี
      ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๒ – ๒๔๗๓ ได้ไปศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์เพิ่มเติมอีกที่แผนกวิทยาศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยกรุงปารีส เป็นการศึกษาต่อเพื่อต้องการความรู้โดยฉะเพาะ ไม่ต้องการรับปริญญาอะไรเป็นพิเศษไปอีก
      เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยแยกธาตุชั้น ๒ ในศาลา แยกธาตุกระทรวงพาณิชย์ และคมนาคม รุ่งขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๔ ก็ได้รับพระราชทานยศเป็นรองอำมาตย์เอก
      ในสมัยที่ยังศึกษาวิชาอยู่ในต่างประเทศนั้น ดร. ตั้ว ลพานุกรม ได้สนใจในความเป็นอยู่ของบ้านเมืองเป็นอันมาก และมีเจตนาอันแรงกล้าที่จะเห็นประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวรเช่นประเทศอื่นที่เจริญแล้วทั้งหลาย ความคิดในเรื่องนี้ได้คุอยู่ภายในทีละน้อย และค่อยๆ ทวีขึ้นเป็นลำดับ ได้ร่วมคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศให้เหมาะสมแก่กาลสมัยกับบุคคลชั้นผู้นำแห่งการปฏิวัติมาตั้งแต่ครั้งนั้น ครั้นได้เข้ามารับราชการ และเห็นเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้นว่ายากที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ จึงได้ร่วมมือกับบรรดาผู้ที่ได้เคยร่วมคิดกันมาแต่ก่อนและผู้อื่นที่ไว้วางใจได้ จัดเป็นคณะราษฎรขึ้น และดำเนินขอรับพระราชทานรัฐธรรมนูญจากพระมหากษัตริย์ จนได้รับผลสำเร็จสมความมุ่งหมาย
      ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิก ของ สภาผู้แทนราฎรชุดแรก เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการราษฎรในเวลาต่อมา
      ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยแยกธาตุชั้นหนึ่ง และในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกาตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖
      ต่อมาในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้รับตำแหน่งเป็นนักเคมีครั้งถึง เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๘ ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นอธิบดีคนแรกของกรมนี้ เพราะเดิมกรมวิทยาศาสตร์มีฐานะเป็นศาลาแยกธาตุ และหัวหน้าก็มีฐานะเป็นแต่เพียงเจ้ากรมเท่านั้น
      ในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล ซึ่งมี พณฯ จอมพล หลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนเดียวกันนั้นเอง ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ ครั้งเมื่อกระทรวงเศรษฐการเปลี่ยนนามมาเป็นกระทรวงการเศรษฐกิจ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงนี้อีกครั้งหนึ่ง และได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งนี้จนถึงแก่อนิจกรรม
       เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ที่ได้รับพระราชทานคือ
      พ.ศ. ๒๔๖๒ เมื่อกลับประเทศไทยพร้อมกับกองทหารอาสา เหรียญทองช้างเผือก เหรียญรามา และเหรียญงานพระราชสงครามในทวีปยุโรป
       พ.ศ. ๒๔๘๒ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก
       พ.ศ. ๒๔๘๒ เหรียญช่วยราชการเขตต์ภายใน

ภาพถ่ายในที่คุมขังชะเลยศึกที่เมือง Celle เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑

ภาพในเครื่องแบบจ่านายสิบ ทหารอาสากองรถยนตร์ ถ่ายที่เมือง Mussbach พ.ศ. ๒๔๖๒

ภาพนักเรียนไทยที่ถูกคุมขังเป็นชะเลย ณ เมือง Celle พ.ศ. ๒๔๖๑

ภาพวงดนตรีเล่นในที่คุมขังชะเลยศึก ณ เมือง Celle พ.ศ. ๒๔๖๑

      เมื่อวันที ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งเป็นวันทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ๗ วันพระราชทาน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ปถมาภรณ์มงกุฎไทย
      ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ นอกจากจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการเศรษฐกิจ และอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์แล้ว ยังได้ดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญอื่นๆอีก เป็นอันมาก อาทิ เช่น
  • เป็นภาคีสมาชิกใน สำนักวิทยาศาสตร์ แห่ง ราชบัณฑิตยสถาน
  • ที่ปรึกษากรมที่ดินและโลหกิจฝ่ายวิชาการ
  • ประธานกรรมการพิจารณางานอุตสาหกรรมของรัฐบาล
  • ประธานกรรมการพิจารณาส่งเสริมกิจการของถั่วเหลือง
  • ประธานกรรมการพิจารณาการจัดตั้งโรงงาน สะกัดน้ำมันถั่วเหลืองและเมล็ดฝ้าย
  • ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องเกลือ
  • ประธานกรรมการปรับปรุงสุรา และเมรัย
  • ประธานกรรมการอำนวยการโรงงานเภสัชกรรม
  • กรรมการตรวจรับทองคำ
  • กรรมการแร่ ป่าไม้ และที่ดิน
  • กรรมการสำรวจแร่
  • กรรมการอุตสหกรรมเหมืองแร่
  • กรรมการประเมินจำนวนแร่
  • กรรมการเชื้อเพลิง
  • กรรมการปรับปรุงกระทรวงทะบวงกรม
  • กรรมการร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองอุตสาหกรรมสมบัติ
  • กรรมการสวนครัวและเลี้ยงสัตว์
  • กรรมการบริษัทไทยนิยมจำกัด
  • หัวหน้า แผนก เภสัชกรรมศาสตร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • นายกเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย
  • กรรมการสมาคมค้นวิชาแห่งประเทศไทย
  • ผู้อำนวยการสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ เป็นต้น
      ในสมัยที่เริ่มเข้ารับราชการ จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์นั้น งานที่ชอบมาก คืองานที่เกี่ยวกับนิติเคมี มีการวิเคราะห์เอกสาร ยาพิษ คราบโลหิต ปืน เป็นต้น
      ความเป็นอยู่ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิต นอกจากการหมกมุ่นในงานแล้ว ชอบอ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์ทุกประเภท เช่น วรรณคดี ประวัติศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ เป็นต้น และไม่แต่อ่านเปล่าๆเท่านั้น ยังเข้าใจดี สามารถอภิปรายและถกเถียงหรือชี้แจงได้อีกด้วย
      ดร. ตั้ว ลพานุกรม มีนิสัยรักหนังสือมาก เพราฉะนั้น จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หนังสือตำราต่างๆ ของกรมวิทยาศาสตร์ ซึ่มเดิมมีอยู่ไม่กี่สิบเล่ม เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งอธิบดี
เวลานี้กรมวิทยาศาสตร์มีหนังสือตำราทุกประเภทราวหมื่นเล่ม และกิจการที่เกี่ยวกับหนังสือก็ได้รับการปรับปรุงขึ้นเป็นแผนก เรียกว่าแผนกหอสมุดวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องหนังสือนี้ ท่านมีความตั้งใจสูงมาก ถึงกับว่าจะพยายามขยาย หอสมุดวิทยาศาสตร์นี้ ให้เป็น หอสมุดวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ( National Scientific Library ) ซึ่งจะเป็นแหล่งตำราสำหรับการศึกษาค้นคว้าในทางวิทยาศาสตร์ของผู้สนใจทั่วไป แต่ความหวังตั้งใจของท่านยังมิทันจะเป็นผลสมบูรณ์ ก็มาด่วนจากไปเสียก่อน
      อนึ่ง ด้วยความรักและสนใจในหนังสือนี้ ท่านได้ให้กำเนิดแก่กิจการอันเกี่ยวด้วยหนังสือของกรมวิทยาศาสตร์หลายประเภท อาทิ เช่น ให้ออกหนังสือพิมพ์ Thai Science Bulletin เพื่อพิมพ์ผลของการสืบสวนค้นคว้าในทางวิทยาศาสตร์ ออกประจำในราย ๓ เดือน และเผยแพร่ไปทั่วโลก ได้ผลในการแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ในทางวิชาการกับต่างประเทศ ตลอดจนเผยแพร่เกียรติคุณของปรุเทศไทยในทางวิทยาศาสตร์ เวลานี้ต่างประเทศได้ให้เกียรติแก่หนังสือนี้เป็นอันดี มีการย่อเรื่อง พิมพ์เผยแพร่อีกต่อหนึ่ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้มีการออกหนังสือพิมพ์วิทยาศาสตร์เป็นภาษาไทย เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และกิจการของกรมวิทยาศาสตร์แก่ประชาชนทั่วไปอีกด้วย ในการนี้ถึงแม้ว่าท่านจะมีภาระธุระต่างๆ อยู่มาก ก็ยังได้สละเวลาทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการด้วยตนเอง อยู่ถึง ๒ ปี ติด ๆ กัน
      ความสามารถในการงานของท่าน อาจเห็นได้จากผลของงานในชั่วเวลาไม่กี่ปี กล่าวคือ ศาลาแยกธาตุในสมัยก่อน เป็นตึกชั้นเดียวหลังยาว มีห้องใหญ่กว้างขวาง มีข้าราชการชั้นนักเคมีเพียง ๗ คน แต่เมื่อ ดร. ตั้ว ลพานุกรม ได้เข้าควบคุมบริหารงานแล้ว กิจการก็ได้ขยายออกไปอย่างไพศาล งานทวีขึ้นหลายเท่าตัว ข้าราชการชั้นนักเคมีเพิ่มขึ้นเกือบ ๗๐ มีข้าราชการทั้งกรมเกือบ ๓๐๐ ตึกทำงาน ซึ่งเดิมเป็นชั้นเดียวได้รับการก่อสร้างเสริมขึ้นเป็น ๒ ชั้น มีตึกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง ทุกๆตึกมีคนทำงานเต็มที่ และเวลานี้ยังแคบเกินไปเสียอีกแล้ว เพราะฉะนั้น จึงได้ดำเนินการขยับขยายไปยังที่ใหม่ คือที่ทุ่งพญาไท ซึ่งมีโครงการสร้างอย่างใหญ่โต แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า การก่อสร้างเพิ่งจะเริ่มขึ้นท่านก็มาจากไปเสียก่อน ไม่ทันจะได้เห็นแม้แต่การวางรากตึกนั้น
      เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า แผนกเภสัชกรรมศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านก็ได้ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้เข้ามาตรฐานชั้นสูง จนถึงแก่ได้ขยายจากชั้นอนุปริญญาเป็นปริญญา นอกจากนั้น ยังได้จัดสร้างตึกแผนกเภสัชกรรมศาสตร์ขึ้นในบริเวณจุฬาลงกรณ์ ที่ตำบลปทุมวันอีกหลังหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของบรรดานิสสิตในแผนกนี้โดยทั่วกัน

ภาพถ่ายที่ Rheinfalz เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ในเครื่องแบบทหารอาสากองรถยนตร์

ภาพหมู่ญาติในครอบครัว ถ่ายเมื่อ ดร.ตั้ว ลพานุกรม กลับจากงานพระราชสงครามในยุโรป

      โดยที่ท่านเป็นผู้สนใจแสวงหาความรู้ใส่ตัวอยู่เสมอ จึงชักจูงและแนะนำผู้ที่อยู่ในบังคับบัญชาให้หมั่นแสวงหาความรู้และพากเพียรอยู่เสมอด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่ท่านคอยตักเตือนให้ข้าราชการทุกคนหาเวลา อ่านหนังสือ และนิตยสารทางวิชาการต่างๆ เท่าที่ท่านได้พยายามจัดหาไว้ในหอสมุดและยังได้จัดให้มีการบรรยายเรื่องที่เป็นวิชาความรู้ในระหว่างข้าราชการ เป็นการประจำเดือนอีกสถานหนึ่งด้วย
      ในการบรรยายความรู้ประจำเดือนนี้ สมควรจะกล่าวไว้ด้วยว่า ท่านเป็นผู้เอาใจใส่อย่างจริงจัง ทุกครั้งที่กำหนดว่าใครจะพูดเรื่องอะไร ท่านจะอ่านและศึกษาเรื่องนั้นให้รู้ละเอียด เมื่อจบการบรรยายแล้วก็มีการซักถามและอภิปราย ซึ่งท่านไม่เคยเว้นที่จะร่วมด้วยสักครั้งเดียว ท่านชอบให้มีกี่บรรยายในเวลากลางคืน นอกเวลาราชการ ทั้งนี้ก็ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เอาเวลาราชการไปใช้ในการปฏิบัติงานอย่างจริงจังนั่นเอง เพราะถ้าจะมีการบรรยายในเวลาราชการแล้ว เวลาปฏิบัติราชการในหน้าที่ก็ย่อมจะเสียไป ถึงแม้ว่าการบรรยายนั้นจะนับว่าเป็นผลประโยชน์แก่ความเจริญก้าวหน้าของราชการด้วยก็ตาม คุณลักษณะ ดั่งกล่าวมานี้ ย่อมแสดงถึงการเอาชีวิตจิตต์ใจของตนเองแสดงลงไปให้ปรากฏในงานอย่างแท้จริง
      โดยที่ท่านเป็นผู้เรียนรู้มากและได้เห็นงานมามาก จึงมีความคิดเห็นกว้างไกล รู้เท่าถึงการและมีความรู้สึกรับผิดชอบ เรื่องนี้จะเห็นได้จากงานบางเรื่องของท่าน เช่นงานอุตสาหกรรมของประเทศ ท่านเห็นด้วยในหลักการที่ว่า ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองมีรายได้มาก ก็ด้วยการก่อให้เกิดอุตสาหกรรมต่างๆขึ้น แต่อุตสาหกรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดหาได้ไม่ จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นตามลำดับความสำคัญ และความสามารถของประเทศ ไม่ใช่ว่าเมื่อคิดจะประกอบอุตสาหกรรมใดแล้ว ก็ลงมือดำเนินการทีเดียวและไปพบอุปสรรคขวางอยู่เบื้องหน้า ในการนี้ท่านได้ทักท้วงและคัดค้านตามที่เห็นว่าสมควร และได้ผลในทางประหยัดเงินของประเทศไม่น้อย ท่านมีคติอยู่ว่าคนสำคัญกว่าเงิน เราต้องเพาะคนที่มีความรู้ขึ้นก่อน แล้วจึงหาเงินมาเพื่อดำเนินการ งานจึงจะไม่เสีย
      การรู้เท่าถึงการนี้ มิได้เกิดขึ้นจากนิสสัยหรือไหวพริบอย่างเดียว แต่เกิดจากความเป็นผู้เอาใจใส่สอดส่อง และพยายามรู้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยตนเองอยู่เสมอ ทั้งนี้เห็นได้จากการที่ท่านพยายามหาโอกาสเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เช่น ไปราชการที่ชะวา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๗๖ ครั้งหนึ่ง ไปยุโรปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ ครั้งหนึ่ง และไปญี่ปุ่น เมื่อปลาย พ.ศ. ๒๔๗๘ ต่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ครั้งหนึ่ง
      ในการไปยุโรป เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ นั้น ท่านไปด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว มิได้ใช้เงินของรัฐบาลเลย นอกจากที่ได้เป็นเงินเดือนอยู่ตามปกติเท่านั้น สมควรที่จะกล่าวถึงความเป็นมาในเรื่องนี้ไว้ด้วย กล่าวคือ ทางราชการกระทรวงเศรษฐการสมัยนั้นได้
พิจารณาเห็นว่างานวิทยาศาสตร์ในยุโรปได้เจริญก้าวหน้าไปเป็นอันมาก ถ้าหากจะให้ข้าราชการที่มีความรู้ดี และรู้งานวิทยาศาสตร์ของประเทศอยู่บ้างแล้วได้ไปสังเกต หรือศึกษาเพิ่มเติมมา ก็จะเป็นประโยชน์แก่ราชการเป็นอันมาก แต่ในเวลานั้น กระทรวงเศรษฐการ ก็ไม่มีงบประมาณในการส่งข้าราชการไปต่างประเทศเลย เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงได้ปรารภปรึกษากับ ดร. ตั้ว ลพานุกรม ด้วยเรื่องนี้ ท่านก็เต็มใจรับอาสาที่จะไปด้วยตนเอง โดยไม่ขอรับเงินช่วยเหลืออย่างใดเลย ซึ่งทางราชการรู้สึกขอบคุณในเจตนาอันดีนี้เป็นอันมาก
      การเดินทางไปยุโรปของท่านในครั้งนี้ก็ดี และไปต่างประเทศในครั้งอื่นก็ดี ท่านได้พยายามตรวจดูสถานะการณ์ในประทศนั้นๆ โดยละเอียด สังเกตวิธีการต่างๆ ทั้งในด้านการบริหารและทางเทฆนิค และติดต่อทำความรู้จักสนิทสนมกับบรรดาบุคคลชั้นหัวหน้าขององค์การณ์ต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นซึ่งกันและกัน ครั้นเมื่อกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ก็ได้จัดการเปลี่ยนแปลงวิธีจัดรูปงานต่างๆ ให้เหมาะสม แก้ไขวิธีการางเทฆนิคให้เป็นไปได้โดยประหยัด รวดเร็ว และแน่นอนกับทั้งเมื่อมีสิ่งใดที่จะพึงติดต่อกับต่างประเทศ ก็ติดต่อตรงไปยังบุคคลเหล่านั้น ซั่งท่านได้ผูกมิตรไมตรีไว้แล้ว ยังให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการเป็นอันมาก นอกจากนี้ท่านยังได้ส่งข้าราชการไปดูงานในที่ต่างๆ ณ ต่างประเทศ ซึ่งท่านได้ผ่านมาแล้วด้วยตนเอง และเห็นว่าสมควรให้เจ้าหน้าที่ฉะเพาะได้ไปศึกษา
      การไปราชการที่ชะวา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๔๗๖ นั้น ได้ดูกิจการเกี่ยวกับเรื่องยาควินิน น้ำมัน และสวนพฤกษาศาสตร์ ส่วนการไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๗๙ นั้น ท่านได้ไปเยี่ยมและชมสถานที่สำคัญๆมาก เช่น มหาวิทยาลัยอิมพีเรียล โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง เหมืองทอง สถานค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม เป็นต้น
      การเดินทางภายในประเทศนั้น ท่านเคยเดินทางเป็นส่วนตัวเกือบทั่วราชอาณาจักร และก็ได้เคยเดินทางไปราชการหลายครั้ง แทบทุกครั้งท่านไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องการให้มีการต้อนรับเอิกเกริก เป็นการรบกวนเจ้าของท้องถิ่น เพราะถือว่าไปอย่างนักวิทยาศาสตร์ เพื่อตรวจแร่ธาตุพืชผลปละความสมบูรณ์ของภูมิประเทศ ซึ่งทั้งนี้ควรจะนับได้ว่าเป็นคุณประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะท่านได้มีโอกาสพบเห็นความเป็นไปในท้องถิ่นเหล่านั้นตามสภาพอันแท้จริง ปราศจากการตบแต่งหรือเคลือบแฝงอย่างใด และสามารถนำเอาสิ่งที่ได้พบเห็นนั้นมาประกอบการพิจารณาและวินิจฉัยให้ถ่องแท้แน่นอนได้
      งานทุกอย่างของท่านได้ทำไว้เป็นขั้นๆ มีระเบียบ และน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ เมื่อท่านจากไปแล้วผู้ที่รับช่วงเอางานอันมากมายหลายหน้าที่ของท่านมาปฏิบัติต่อ จึงสามารถรับดำเนินงานต่อไปได้โดยสะดวก

ภาพถ่ายที่ประเทศเยอรมันนี พร้อมกับสมเด็จพระราชบิดาและพระราชชนนี

การปฏิบัติงานในมหาวิทยาลัยเบิร์น พ.ศ. ๒๔๖๙

"ของโปรดที่สุด-หนังสือ" ถ่ายที่กรุงเบิร์น พ.ศ. ๒๔๖๒

ภาพถ่ายที่กรุงเบิร์น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ ในห้องหนังสือที่บ้านพักในระหว่างศึกษา

      มีงานหลายอย่างของกรมวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นหรือได้มารวมอยู่ด้วยความริเริ่มของท่าน อาทิ เช่น การตั้งกองเภสัชกรรมและโรงงานเภสัชกรรม การโอนเอางานเกษตรศาสตร์จากกรมเกษตรมาจัดเป็นกองหนึ่ง ตั้งแผนกฟิสิคส์ แผนกเครื่องปั้นดินเผา แผนกเส้นใย แผนกอาหาร แผนกสุราเมรัย แผนกแร่และหิน ขึ้นในกองอุตสาหกรรมเคมี หรือแทบจะว่าจัดตั้งกองใหม่ขึ้นอีกกองหนึ่งก็ได้ เพราะกองอุตสาหกรรมเคมี ซึ่งเดิมมีชื่อว่ากองเทฆโนโลยีนั้น มีงานที่เป็นหน้าเป็นตาอยู่ก็แต่การทำน้ำยาสะกัดวิตามิน บี. และยาน้ำมันกระเบา นอกจากนั้น ยังได้จัดตั้งแผนกหอสมุดวิทยาศาสตร์กับสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ­ขึ้นใหม่ โดยฉะเพาะในส่วนสถานศึกษาเคมีปฏิบัตินั้น ท่านรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการเองมาตั้งแต่ต้นจนถึงอวสานกาลแห่งชีวิตของท่าน ไม่ใช่ว่าท่านรับตำแหน่งนี้เพราะขาดผู้ไว้วางใจ หรือรับแต่เพียงเป็นพิธี แต่รับเพื่อควบคุมการศึกษาอบรมนักศึกษาอย่างใกล้ชิด เพราะนักศึกษาเหล่านี้เมื่อสำเร็จแล้วก็จะมาเป็นข้าราชการในกรมวิทยาศาสตร์ต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยืนยันความที่ได้กล่าวมาแล้วตอนหนึ่งว่า ท่านมองเห็นความสำคัญของคนยิ่งกว่าสิ่งอื่น ถ้าหากคนซึ่งจะเป็นผู้ปฎิบัติงานดีแล้ว งานก็ย่อมจะดีตามกันไปด้วย
      ความดำริริเริ่มของท่านอีกสิ่งหนึ่งซึ่งยังไม่ทันจะเป็นผลก็ต้องหยุดชะงักลงนั้น ได้แก่การที่จะจัดตั้งสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยขึ้น เพราะท่านเล็งเห็นว่าเวลานี้ประเทศเราก็มีผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อยู่มากแล้ว แต่ต่างคนต่างก็ทำงานคนละแห่ง ไม่ใคร่จะได้มีการวิสาสะสมาคมซึ่งกันและกัน เป็นเหตุให้ขาดการติดต่อและความร่วมมืออันดี ถ้าหากได้จัดให้มีสมาคมขึ้นแล้วก็จะเป็นโอกาสให้มาพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็นและความชำนาญกันได้ นอกจากนั้น เมื่อมีนักวิทยาศาสตร์ชาวต่างประเทศมาเยี่ยมเยียนประเทศไทย ก็จะได้มีองค์การณ์รับรองให้เป็นเกียรติยศแก่บ้านเมือง สมาคมเช่นว่านี้ในต่างประเทศเขามีกันมาก แต่ของเรายังขาดอยู่ สมควรที่จะจัดให้มีขึ้นได้แล้ว แต่ความปรารถนาของท่านยังมิได้บรรลุความสำเร็จ ท่านก็มาถึงแก่อนิจกรรมไปเสียก่อน อย่างไรก็ดี คงจะมีผู้ที่เห็นชอบด้วยในอุดมคติของท่านบ้าง และสมาคมเช่นว่านี้ก็อาจอุบัติขึ้นได้สักวันหนึ่งในอนาคต
      ดร. ตั้ว ลพานุกรม เป็นผู้มีความจงรักภักดีในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ สำหรับความจงรักภักดีในชาตินั้น จะเห็นได้จากการที่ท่านยอมเสียสละเสี่ยงชีวิตและเลือดเนื้อ ก่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเพื่อให้ชาติไทยได้เจริญก้าวหน้าไปในอารยวิถี ท่านได้เสียสละเพื่อชาติโดยมิได้หวังการตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากความพากพูมใจ ในเมื่อเห็นความเจริญรุ่งโรจน์ของประเทศชาติ ความปรารถนาอันแรงกล้าในชีวิตของท่านนั้น คือ ความปรารถนาที่จะส่งเสริมและบำรุงการวิทยาศาสตร์ของชาติให้รุ่งเรือง เพราะมีคติอยู่ว่า "ชาติจะเจริญโดยไม่มีวิทยาศาสตร์เป็นหลักไม่ได้"

ส่วนความจงรักภักดีในพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์นั้น ได้มีอยู่ในตัวท่านอย่างเพียบพร้อม ท่านเองก็เป็นผู้ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระราชบิดาในการศึกษามาตั้งแต่เยาว์วัย  จนกระทั่งสำเร็จกลับมารับราชการรับใช้บ้านเมือง สมควรจะกล่าวว่า ในการร่วมคิดและร่วมมือในคราวก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ท่านมิได้กระทำไปด้วยความเกลียดชังพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์องค์หนึ่งองค์ใดเลย แต่กระทำไปด้วยความเห็นแก่ชาติโดยแท้ และท่านก็ได้ยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เป็นอย่างดีมาตลอด
      ชีวิตส่วนตัวของท่านในเวลาว่าง นอกจากการอ่านหนังสือดังกล่าวมาแล้ว ก็คือการศึกษาหาความรู้ในเรื่องศิลป ชอบสะสมศิลปวัตถุ มีภาพถ่าย ภาพเขียน ภาพปั้น ภาพแกะ ภาพสลัก เป็นต้น ชอบการถ่ายรูปทั้งรูปธรรมดาและภาพยนตร์เป็นนิสสัยเดิมที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ดนตรีไม่ได้จับมานานแต่ก็ชอบฟังเสมอ โดยฉะเพาะดนตรีประเภทคลาสสิค
      การฟังวิทยุเป็นของชอบที่สุดอีกสิ่งหนึ่ง โดยที่ท่านเป็นผู้รู้ภาษาต่างประเทศดีหลายภาษา จึงรับฟังการกระจายเสียงจากประเทศนั้นประเทศนี้อย่างไม่เบื่อหน่าย ในสมัยที่มีสถานะสงครามในยุโรปนี้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการตรวจข่าวอยู่ด้วย จึงได้มีความเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งการอ่านข่าวโทรเลข และการรับฟังโดยตรงทางวิทยุกระจายเสียง
      ก่อนถึงแก่อนิจกรรม ปรากฏว่าท่านลาป่วยในวันจันทร์ที่ ๒๕ สิงหาคม หนึ่งวัน ซึ่งเป็นที่สะดุดใจของพวกข้าราชการในกรมวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง เพราะนับตั้งแต่ท่านเข้ารับราชการมา ๑๐ ปี ปรากฏว่าท่านลาป่วยเพียง ๓ วันเท่านั้น คือ ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ สองวัน และใน พ.ศ. ๒๔๗๖ หนึ่งวัน ในระยะหลัง ๆ นี้ท่านไม่เคยป่วยถึงแก่ต้องลาราชการเลย แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่ใคร่วิตกนัก เพราะเมื่อสอบถามไปทางบ้านแล้ว ก็ได้ความว่าท่านมีอาการปวดท้องเล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ท่านมีโรคกระเพาะอาหารประจำตัวอยู่นานแล้ว จึงเข้าใจว่าอาการปวดท้องคงจะเนื่องมาจากโรคเดิม ท่านได้ให้คนไปเชิญแพทย์มาตรวจอาการ แต่แพทย์ที่มาตรวจ ไม่ได้ให้ความเห็นเด็ดขาดว่าเป็นอะไร เพราะอาการที่ปรากฏยังคลุมเครืออยู่ ได้ให้แต่ยาไว้รับประทานเท่านั้น ต่อมาทางบ้านได้เชิญนายแพทย์ เติม บุญนาค ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของท่านมาตรวจอาการอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนายแพทย์เติมตรวจอาการแล้ว ก็ได้แนะนำให้ไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราชทันที
 รุ่งขึ้นเช้าวันอังคารทางกรมวิทยาศาสตร์ได้ทราบว่าท่านอธิบดีไปอยู่โรงพยาบาลแล้ว ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับท่านก็ได้รีบไปเยี่ยมโดยด่วน
      ขณะที่แรกเห็นหน้าท่านนั้น ทุกๆคนก็คลายความตกใจและหนักใจ เพราะท่านมีอากียิ้มแย้มเป็นปกติ พูดคุยตามธรรมดา ทุกคนที่ไปเยี่ยมเช้าวันนั้น ยังคงจดจำถ้อยคำของท่านได้ดีว่า “อีกสัก ๒-๓ วัน ผมคงจะไปทำงานได้ อย่าวิตกเลย”
      เวลานั้นแพทย์กำลังถ่ายน้ำเกลือเข้าเส้นโลหิตอยู่ ท่านได้ชี้ให้ผู้ที่ไปเยี่ยมอาการดูแล้วว่า “น้ำเกลือบรรจุหลอดขนาดใหญ่นี้ยังไงล่ะ ที่เรากำลังคิดจะทำโรงงานเภสัชกรรม แต่เวลานี้ยังหาซื้อหลอดไม่ได้ อีกหน่อยต้องทำให้ได้นะ”
      นายแพทย์ผู้รักษาแจ้งว่าจะต้องถ่ายเอกซเรย์ก่อน และจะทำการผ่าตัดราว ๑๑ นาฬิกาของวันนั้น โดยที่อาการป่วยของท่านมิใช่เล็กน้อยดังที่ตัวของท่านคิด ทางกรมวิทยาศาสตร์จึงได้จัดให้มีผู้ไปเฝ้าฟังอาการ และรายงานมาให้กรมทราบเป็นระยะ ๆ ปรากฏว่าข้าราชการทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยพากันเป็นห่วงและเอาใจช่วยขอให้อาการป่วยของท่านหายไปโดยเร็ว ไม่มีใครมีจิตต์ใจพอที่จะปฏิบัติราชการได้ตามปกติ พอเลิกงาน เวลา ๑๖.๐๐ น. ก็มีผู้พากันไปเยี่ยมอาการอย่างหนาแน่น ได้ทราบว่าการผ่าตัดได้เสร็จสิ้นไปแล้ว อาการทั่วไปยังทรงอยู่ ท่านผู้ป่วยยังมีกำลังน้ำใจดีเป็นปกติ มีข้าราชการบางคนได้อยู่เฝ้าอาการจนตลอดคืน

ภาพท่านผู้อำนวยการสถานศึกษาเคมีปฏิบัติ กับผู้ช่วยผู้อำนวยการและศิษย์รุ่นแรกของท่านที่สำเร็จการศึกษา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒

ภาพดร.ตั้วฯ ไปดูการชลประทานแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๘๓

รุ่งขึ้นวันพุธ อาการยังไม่แสดงว่าดีขึ้นเลย ทุกคนได้ทวีความเป็นห่วงกังวลยิ่งขึ้น กรมวิทยาศาสตร์ได้พยายามติดต่อกับนายแพทย์อย่างใกล้ชิด และได้พิมพ์อาการแจกให้ข้าราชการทราบเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งวัน
      ข่าวการป่วยของท่านได้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นจึงมีผู้ไปเยี่ยมอาการอย่างเนืองแน่น อาทิ เช่น พณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทุกท่าน ท่านที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี คณะผู้ก่อการ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย และมิตรสหาย อันเป็นพะยานในคุณงามความดีของท่านที่ได้มีต่อบุคคลทั่วไป
      ต่อมาอาการป่วยของท่านแสดงว่าน่าวิตกยิ่งขึ้น และในเวลาประมาณ ๒๓.๐๐ น. ของคืนวันพุธนั้นเอง ท่านก็ถึงแก่อนิจกรรมไปด้วยอาการอันสงบ เนื่องจากโรคลำไส้พิการนั้น ในท่ามกลางญาติและมิตรสหายที่ใกล้ชิด อาทิ เช่น
  • หลวงประดิษฐมนูธรรม
  • พ.ต. หลวงโกวิทอภัยวงศ์
  • พล.ร.ท. หลวงสินธุสงครามชัย
  • พ.อ. ประยูร ภมรมนตรี
  • น.อ. หลวงศุภชลาศัย
  • ร.น. หลวงเดชาติวงศ์วราวัตน์
  • หลวงเดชสหกรณ์
  • ม.ล. อุดม สนิทวงศ์
  • ดร. ประจวบ บุนนาค
  • พ.ต. ขุนนิรันดรชัย
  • นายวิเชียร สุวรรณทัต เป็นต้น
ทิ้งให้บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องหลังพากันเศร้าสลดเสียใจทั่วหน้ากัน
      เมื่อนำข่าวการอนิจกรรมของ ดร. ตั้ว ลพานุกรม กราบบังคมทูล ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับเป็นศพหลวง และพระราชทานโกศ ๘ เหลี่ยมเป็นเกียรติยศ สำหรับงานพระราชทานเพลิงศพนั้น คณะรัฐบาลได้รับเป็นเจ้าภาพ โดยจัดให้เป็นงานรัฐพิธี ทั้งนี้นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และพระคุณอย่างยิ่ง
      เพื่อเป็นการแสดงความสลดใจในอนิจกรรมของท่านผู้เป็นรัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงการเศรษฐกิจ กระทรวงการเศรษฐกิจ จึงสั่งให้ข้าราชการทุกคนในสังกัดกระทรวงนี้ไว้ทุกข์มีกำหนด ๗ วัน
      เมื่อหวนมารำลึกถึงการงานที่ท่านได้ประกอบไว้ ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะเห็นว่าเพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดีที่จะเป็นเกียรติประวัติอยู่ชั่วกาลนาน ฉะนั้นการที่ท่านจากไปคราวนี้ จึงเป็นการจากไปที่เต็มไปด้วยความเสียดายอาลัยรักของบุคคลส่วนมาก มาตรว่าท่านจะไปสถิตอยู่ ณ สถานใดในปรภพ ก็ขอให้ท่านจงเป็นผู้สัมฤทธิ์ในอิฏฐวิบากวิบูลผล เป็นสุขสถาพรจงทุกประการ เทอญ

ภาพหมู่ข้าราชการกรมวิทยาศาสตร์ รูปสุดท้ายที่มีท่านอธิบดีร่วมอยู่ด้วย ถ่ายเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔

บรรณานุกรม

ที่ระลึกในงานรัฐพิธีพระราชทานเพลิงศพ ดร. ตั้ว ลพานุกรม ณ สุสานหลวง วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๔๘๔. พระนคร : บริษัทการพิมพ์ไทย, ๒๔๘๔. ๑๒๘ หน้า.